1.ข้าวนาปี

นายวีรศักดิ์ วงษ์บุตร กล่าวอีกว่า
พื้นที่ปลูกข้าวในจังหวัดชัยภูมิกว่า 1.9 ล้านไร่ เป็นพื้นที่ทำการเกษตรแบบอาศัยน้ำฝน
มีพื้นที่ได้รับประโยชน์จากอ่างเก็บน้ำและสถานีสูบน้ำด้วยไฟฟ้าปริมาณร้อยละ 10 ของพื้นที่นาข้าวทั้งหมด จากสถานการณ์ฝนตกน้อยและล่าช้ากว่าปกติเช่นนี้ทำให้ปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำและแหล่งน้ำเพื่อการเกษตรอาจไม่เพียงพอต่อการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี
ทำให้เสี่ยงต่อภาวะขาดแคลนน้ำ และข้าวตายแล้งได้
นอกจากเกรงปัญหาการขาดแคลนน้ำเพื่อการเกษตรแล้ว ยังอาจส่งผลกระทบต่อน้ำใช้เพื่ออุปโภคบริโภคด้วย
พันธุ์ข้าวนาปีที่เกษตรกรส่วนใหญ่ในจังหวัดชัยภูมิ
นิยมปลูก ได้แก่ ข้าวหอมมะลิ 105 และข้าวเหนียว กข 6 เป็นต้น
มีอายุการเก็บเกี่ยวเฉลี่ย 150 วัน
สำหรับห้วงเวลาในการปลูกข้าวนาปีนั้น เกษตรกรสามารถลงมือปลูกได้ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม
จนถึง เดือนสิงหาคม เก็บเกี่ยวผลผลิตได้ประมาณเดือนตุลาคม ถึง ธันวาคม ทั้งนี้
เกษตรกรสามารถชะลอการปลูกข้าวนาปีโดยอยู่ในห้วงเวลาที่เหมาะสม
อย่างช้าที่สุดสามารถชะลอการปลูกได้ถึงสิงหาคม ซึ่งจะเก็บเกี่ยวได้ในเดือนธันวาคม
ดังนั้น เกษตรกรยังมีเวลาเฝ้าสังเกตติดตามสถานการณ์สภาพฝนฟ้าอากาศได้
จึงขอให้เกษตรกรอย่าเร่งลงมือขยายพื้นที่ปลูกข้าวจนกว่าจะมั่นใจในสถานการณ์
นายวีรศักดิ์ วงษ์บุตร รักษาราชการแทนเกษตรจังหวัดชัยภูมิ กล่าวในที่สุด
ทั้งนี้
เกษตรกรสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ สำนักงานเกษตรอำเภอทุกอำเภอ
และสำนักงานเกษตรจังหวัดชัยภูมิ โทร 0-4481-2117
2.การปลูกอ้อย
สูตรน้ำหมักชีวภาพ เหมาะกับระบบการปลูกอ้อยด้วยระบบน้ำหยด
ส่วนผสม หอยเชอร์รี่ 50 กก. กากน้ำตาล 4-5 กก. หมักทิ้งไว้ 60 วัน อัตราการใช้
น้ำหมัก 1 ลิตร ต่อน้ำ 100 ลิตร ปล่อยไปตามน้ำที่เราให้ต้นอ้อย อาทิตย์ละ 1 ครั้ง
1-2 ชั่วโมง เป็นการบำรุงดิน และระบบรากในตัว การบำรุงรากเป็นสิ่งจำเป็น หลังจากตัดต้นอ้อยเรียบร้อยแล้ว
บำรุงตออ้อยด้วยการรดน้ำ 1-2 วัน เป็นการบำรุงเก็บผลผลิตรุ่นที่ 2
การปลูกอ้อยด้วยระบบน้ำหยด ระยะเวลาการปลูก 1 ปี ก็สามารถเก็บผลผลิตได้ ปลูก 1 ต้น
สามารถเก็บผลิตได้ 8 ตอ 1 ไร่เก็บผลผลิตได้ปีละ 20-25 ตัน/ไร่ และไม่แนะนำให้เผาใบอ้อย
จะทำให้ความหวานลดลง
อุปกรณ์ระบบน้ำหยดในไร่อ้อย ถ้ามีแหล่งน้ำ
เครื่องปั้มน้ำ
ท่อส่งน้ำ ท่อประทาน และรองประทานอาจใช้ขนาดเดียวกันได้คือ 2 นิ้ว
เทปน้ำหยด 2 ไร่ใช้ประมาณ 3200 เมตร
ชุดกรองน้ำ
ข้อต่อต่างๆ
หัวใจของการปลูกอ้อย
ก่อนเริ่มกระบวนการเพาะปลูก
ปัจจัยแรกสุดที่ให้ความสำคัญและคัดเลือกอย่างพิถีพิถัน คือ พื้นที่เพาะปลูก
จะต้องมีสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติที่ดี คัดเลือกพื้นที่ให้อยู่ห่างจากมลพิษทั้งหลาย
คือถนนหลวง โรงงาน และแปลงปลูกพืชที่ใช้สารเคมี
และจะต้องศึกษาประวัติด้านการเกษตรของพื้นที่นั้นอย่างถี่ถ้วน
เพื่อหลีกเลี่ยงพื้นที่ที่อาจส่งผลกระทบต่อความบริสุทธิ์ของอ้อยอินทรีย์ หัวใจของการปลูกอ้อยสูตร 100 ตันต่อไร่
ประกอบด้วย 4 กระบวนการ ที่ทำหน้าที่สัมพันธ์กันเป็นวงจร
เพื่อดูแลหล่อเลี้ยงต้นอ้อยให้เติบโตสมบูรณ์ คือ ดิน, พันธุ์อ้อย, น้ำ และ ปุ๋ย
ที่มา :
ศูนย์ทางด่วนข้อมูลทางการเกษตร *1677 / สถานีวิทยุร่วมด้วยช่วยกัน จ.นครราชสีมา /
เว็บไซต์รักบ้านเกิดดอทคอม / เว็บไซต์เกษตรพอเพียง เรื่อง
วิธีการปลูกอ้อยแบบน้ำหยด
3.การปลูกมันสำปะหลัง
1. การเตรียมดินหากดินที่ทำการเพาะปลูกมันติดต่อกันหลายปี
ควรปรับปรุงดิน เพื่อรักษาระดับผลผลิตในระยะยาว ด้วยการใส่ปุ๋ยคอก
ปุ๋ยหมักเปลือกมันชนิดเก่าค้างปี (จากโรงแป้งทั่วไป) ที่หาได้ในท้องถิ่น หรือ
ปลูกพืชตระกูลถั่วต่าง ๆ หมุนเวียนบำรุงดิน ในกรณีที่พื้นที่ประเภทหญ้าคา
ควรใช้ยาราวด์อัพหรือเครือเถาต่าง ๆ ควรใช้ยาสตาร์เรน ฉีดพ่นยาจำกัดเสียก่อนการไถ
จากนั้นไถครั้งแรกโดยไถกลบวัชพืชก่อนปลูกด้วยผาน 3 (อย่าเผาทำลายวัชพืช)
ให้ลึกประมาณ 20-30 ซม. แล้วทิ้งระยะไว้ประมาณ 20-30 วัน
เพื่อหมักวัชพืชเป็นปุ๋ยในดินต่อไป ไถพรวนด้วยผาน 7 อีก 1-2 ครั้ง ตามความเหมาะสม
และรีบปลูกโดยเร็ว ในขณะที่ดินยังมีความชื้นอยู่
2. การเตรียมท่อนพันธุ์
ใช้ท่อนพันธุ์มันที่สด อายุ 10-12
เดือน ตัดทิ้งไว้ไม่เกินประมาณ 15 วัน โดยติดให้มีความยาวประมาณ 20 ซม.
มีตาไม่น้อยกว่า 5 ตา เพื่อป้องกันเชื้อราและแมลง ควรจุ่มท่อนพันธุ์ในยาแคปแทน 1.6
ขีด (160 กรัม) ผสมร่วมกับมาลาไธออน 20 ซีซี ในน้ำ 20 ลิตร ประมาณ 5 นาที ก่อนปลูก
3. การปลูก ปลูกเป็นแถวแนวตรง
เพื่อสะดวกในการบำรุงรักษาและกำจัดวัชพืช โดยใช้ระยะระหว่างแถว 1.20 เมตร
ระยะระหว่างต้น 80 ซม. และปักท่อนพันธุ์ให้ตั้งตรงลึกในดินประมาณ 10 ซม.
4. การฉีดยาคุมเมล็ดวัชพืช สำหรับการปลูกในฤดูฝนสภาพดินชื้น
ควรฉีดยาคุมวัชพืชด้วยยาไดยูรอน (คาแม็กซ์) หลังจากการปลูกทันที ไม่ควรเกิน 3 วัน
หรือก่อนต้นมันงอก หากฉีดหลังต้นมันงอก อาจทำให้ต้นมันเสียหายได้ ใช้ยาในอัตรา 6
ขีด (600 กรัม) ผสมน้ำ 200 ลิตร ฉีดพ่นได้ประมาณ 1 ไร่ครึ่ง
5. การกำจัดวัชพืชและการใส่ปุ๋ย กำจัดวัชพืช ครั้งที่ 1 ประมาณ 30-45
วัน หลังการปลูก โดยใช้รถไถเล็กเดินตาม หรือ จานพรวนกำจัดวัชพืช
ติดท้ายรถแทรกเตอร์ พร้อมทั้งใส่ปุ๋ย 15-15-15 อัตรา 25-50 กก./ไร่ ห่างจากต้นมัน
1 คืบ (20 ซม.) จากนั้นใช้จอบกำจัดวัชพืชส่วนที่เหลือ พร้อมกับกลบปุ๋ยไปด้วย
หรือใส่ปุ๋ยโดยการขุดหลุม ห่างจากโคนต้น 1 คืบ แล้วกลบดินตามก็ได้
ข้อสำคัญควรใส่ปุ๋ยขณะที่ดินมีความชื้นอยู่ กำจัดวัชพืช ครั้งที่ 2 ประมาณ 60-70
วัน หลังการปลูก โดยปฏิบัติเช่นเดียวกันกับครั้งแรก กำจัดวัชพืช ครั้งที่ 3 ตามความจำเป็น
โดยใช้จอบถาก หรือฉีดพ่นด้วยยากรัมม๊อกโซน (ควรใช้ฝากครอบหัวฉีด
เพื่อป้องกันไม่ให้ยาโดนตาและลำต้นมัน)
6. การเก็บเกี่ยว ทำการเก็บเกี่ยวมันสำปะหลังในช่วงอายุที่เหมาะสม
คือ ประมาณ 10-12 เดือน พร้อมทั้ง วางแผนการเตรียมท่อนพันธุ์มันสำปะหลัง
เพื่อการปลูกในคราวต่อไปส่วนของต้นมันสำปะหลังที่ไม่ใช้ เช่น ใบ กิ่ง ก้าน หรือ
ลำต้น ควรสับทิ้งไว้ในแปลง เพื่อให้เป็นปุ๋ยพืชสดในดินต่อไป
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น