การประกอบอาชีพ


     
1.ข้าวนาปี
                 นายวีรศักดิ์ วงษ์บุตร นักวิชาการส่งเสริมการเกษตรชำนาญการพิเศษ รักษาราชการแทนเกษตรจังหวัดชัยภูมิ เปิดเผยว่า ในช่วงปลายเดือนพฤษภาคมของทุกปี ชาวนาส่วนใหญ่ในจังหวัดชัยภูมิ จะเริ่มลงมือจัดเตรียมการปลูกข้าวนาปี ซึ่งมีพื้นที่ปลูกในทุกอำเภอ แต่จากสถานการณ์ความแห้งแล้งในปัจจุบัน จึงขอให้เกษตรกรชะลอการปลูกข้าวนาปีไว้ก่อน โดยให้ติดตามสภาพอากาศอย่าใกล้ชิด เมื่อมั่นใจว่าฝนตกตามฤดูกาลแล้ว จึงค่อยลงมือปลูก อย่างไรก็ตามในปัจจุบัน มีรายงายการปลูกขาวนาปีของเกษตรกรจังหวัดชัยภูมิ แล้วประมาณ 8 หมื่นกว่าไร่ ซึ่งสำนักงานเกษตรจังหวัดชัยภูมิ ได้กำชับให้เจ้าหน้าที่ติดตามและรายงานสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง เนื่องจากเกรงว่าพื้นที่ปลูกข้าวจะได้รับความเสียหาย หากฝนตกช้ากว่าปกติ และจะได้หามาตรการ แนวทางป้องกันช่วยเหลือเกษตรกรต่อไป
               นายวีรศักดิ์ วงษ์บุตร กล่าวอีกว่า พื้นที่ปลูกข้าวในจังหวัดชัยภูมิกว่า 1.9 ล้านไร่ เป็นพื้นที่ทำการเกษตรแบบอาศัยน้ำฝน มีพื้นที่ได้รับประโยชน์จากอ่างเก็บน้ำและสถานีสูบน้ำด้วยไฟฟ้าปริมาณร้อยละ 10 ของพื้นที่นาข้าวทั้งหมด จากสถานการณ์ฝนตกน้อยและล่าช้ากว่าปกติเช่นนี้ทำให้ปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำและแหล่งน้ำเพื่อการเกษตรอาจไม่เพียงพอต่อการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ทำให้เสี่ยงต่อภาวะขาดแคลนน้ำ และข้าวตายแล้งได้ นอกจากเกรงปัญหาการขาดแคลนน้ำเพื่อการเกษตรแล้ว ยังอาจส่งผลกระทบต่อน้ำใช้เพื่ออุปโภคบริโภคด้วย
             พันธุ์ข้าวนาปีที่เกษตรกรส่วนใหญ่ในจังหวัดชัยภูมิ นิยมปลูก ได้แก่ ข้าวหอมมะลิ 105 และข้าวเหนียว กข 6 เป็นต้น มีอายุการเก็บเกี่ยวเฉลี่ย 150 วัน สำหรับห้วงเวลาในการปลูกข้าวนาปีนั้น เกษตรกรสามารถลงมือปลูกได้ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม จนถึง เดือนสิงหาคม เก็บเกี่ยวผลผลิตได้ประมาณเดือนตุลาคม ถึง ธันวาคม ทั้งนี้ เกษตรกรสามารถชะลอการปลูกข้าวนาปีโดยอยู่ในห้วงเวลาที่เหมาะสม อย่างช้าที่สุดสามารถชะลอการปลูกได้ถึงสิงหาคม ซึ่งจะเก็บเกี่ยวได้ในเดือนธันวาคม ดังนั้น เกษตรกรยังมีเวลาเฝ้าสังเกตติดตามสถานการณ์สภาพฝนฟ้าอากาศได้ จึงขอให้เกษตรกรอย่าเร่งลงมือขยายพื้นที่ปลูกข้าวจนกว่าจะมั่นใจในสถานการณ์ นายวีรศักดิ์ วงษ์บุตร รักษาราชการแทนเกษตรจังหวัดชัยภูมิ กล่าวในที่สุด
          ทั้งนี้ เกษตรกรสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ สำนักงานเกษตรอำเภอทุกอำเภอ และสำนักงานเกษตรจังหวัดชัยภูมิ โทร 0-4481-2117


2.การปลูกอ้อย
                      
               จากข้อมูลในการปลูกอ้อย ด้วยการใช้ระบบน้ำหยด เพื่อเพิ่มผลผลิตของอ้อย สารให้ความหวานที่นำไปผลิตน้ำตาลและผลิตภัณฑ์อื่นๆ ได้มากมาย โดยคุณสมพงษ์ วรรณวินัย ผู้เป็นเกษตรกรที่มีสำนึกรักบ้านเกิด จากจังหวัดชัยภูมิ แห่งบ้านหนองแซง ตำบลบ้านแก้ง อำเภอภูเขียว ได้ริเริ่มการปลูกอ้อยมาตั้งแต่ ปี 2524 เป็นผู้ที่ได้ชื่อว่า ปราชญ์ชาวบ้าน อย่างแท้จริง เพราะท่านมีความเชี่ยวชาญในการปลูกอ้อยจนประสบความสำเร็จ และคิดค้นการปลูกอ้อยระบบน้ำหยดเพิ่มผลผลิตลดต้นทุน ปลูก 1 ครั้ง ตัดได้ 8 ตอ โดยขั้นตอนการปลูกนั้น ไม่ยากอย่างที่คิดโดยเริ่มจากการเตรียมดินปลูก ให้เหมาะสมกับระบบน้ำหยด ดังนี้ไถด้วยผานจักร โดยการไถใบพรวนลงดินให้เป็นปุ๋ยในตัว ทั้งนี้อาจใช้ปุ๋ยพืชสดผสมกากน้ำตาล เป็นการเพิ่มจุลินทรีย์ในดินไถพรวนดินระหว่างแถวห่างกัน 180 ซม. ระหว่างหลุมห่าง 40 ซม. หลุมลึก 10-15 ซม.ใส่ปุ๋ยอินทรีย์รองพื้นก่อนปลูกอัตรา 12.5 กิโลกรัม/แถวในการปลูกนั้น อาจใช้รถปลูก กรณีต้องการใช้ปุ๋ยวางในร่องให้เป็นระบบ พร้อมวางท่อนพันธุ์ ติดตั้งระบบน้ำหยดใต้ดิน และกลบร่องในตัว ท่อนพันธุ์ที่ใช้ต้องมีอายุตั้งแต่ 8 เดือนขึ้นไป ขนาดท่อนพันธุ์ 25-30 ซม.หลังจากวางท่อนพันธุ์เรียบร้อยแล้วนั้นเปิดน้ำครั้งแรกให้น้ำ 8 ชั่วโมงหลังจากนั้นดูแลให้น้ำวันละ 2 ชั่วโมง จนกว่าท่อนพันธุ์จะงอกรากและยืนต้นได้ หรืองอกขึ้นมาประมาณ 30-40 ซม. ค่อยเปลี่ยนมาให้น้ำอาทิตย์ละครั้ง/ครั้งละ 4 ชั่วโมการให้น้ำนั้นให้ได้ทุกช่วงตามสะดวกหลังจากที่ต้นอ่อนงอกขึ้นมา 30-40 ซม.แล้วพยายามบำรุงด้วยการใช้ปุ๋ยอินทรีย์ เดือนละ 1 ครั้ง เพื่อช่วยให้รากแข็งแรงในช่วงหน้าฝนพอดี ควรงดการให้น้ำหลังจากนั้น ให้สังเกตต้นดู หากต้นไม่สมบูรณ์ ให้ปุ๋ยหมักผสมในน้ำ แล้วให้มาตามระบบน้ำหยดใต้ดินในอัตราส่วน 1:1 แล้วให้ตามน้ำตามปกติ หรือให้น้ำหมักชีวภาพ อาทิตย์ละ 1 ครั้งครั้งละ 1-2 ชั่วโมง เป็นเวลา 2 อาทิตย์
                    สูตรน้ำหมักชีวภาพ เหมาะกับระบบการปลูกอ้อยด้วยระบบน้ำหยด ส่วนผสม หอยเชอร์รี่ 50 กก. กากน้ำตาล 4-5 กก. หมักทิ้งไว้ 60 วัน อัตราการใช้ น้ำหมัก 1 ลิตร ต่อน้ำ 100 ลิตร ปล่อยไปตามน้ำที่เราให้ต้นอ้อย อาทิตย์ละ 1 ครั้ง 1-2 ชั่วโมง เป็นการบำรุงดิน และระบบรากในตัว การบำรุงรากเป็นสิ่งจำเป็น หลังจากตัดต้นอ้อยเรียบร้อยแล้ว บำรุงตออ้อยด้วยการรดน้ำ 1-2 วัน เป็นการบำรุงเก็บผลผลิตรุ่นที่ 2 การปลูกอ้อยด้วยระบบน้ำหยด ระยะเวลาการปลูก 1 ปี ก็สามารถเก็บผลผลิตได้ ปลูก 1 ต้น สามารถเก็บผลิตได้ 8 ตอ 1 ไร่เก็บผลผลิตได้ปีละ 20-25 ตัน/ไร่ และไม่แนะนำให้เผาใบอ้อย จะทำให้ความหวานลดลง
     อุปกรณ์ระบบน้ำหยดในไร่อ้อย ถ้ามีแหล่งน้ำ
เครื่องปั้มน้ำ
ท่อส่งน้ำ ท่อประทาน และรองประทานอาจใช้ขนาดเดียวกันได้คือ 2 นิ้ว
เทปน้ำหยด 2 ไร่ใช้ประมาณ 3200 เมตร
ชุดกรองน้ำ
ข้อต่อต่างๆ
หัวใจของการปลูกอ้อย
                  ก่อนเริ่มกระบวนการเพาะปลูก ปัจจัยแรกสุดที่ให้ความสำคัญและคัดเลือกอย่างพิถีพิถัน คือ พื้นที่เพาะปลูก จะต้องมีสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติที่ดี คัดเลือกพื้นที่ให้อยู่ห่างจากมลพิษทั้งหลาย คือถนนหลวง โรงงาน และแปลงปลูกพืชที่ใช้สารเคมี และจะต้องศึกษาประวัติด้านการเกษตรของพื้นที่นั้นอย่างถี่ถ้วน เพื่อหลีกเลี่ยงพื้นที่ที่อาจส่งผลกระทบต่อความบริสุทธิ์ของอ้อยอินทรีย์  หัวใจของการปลูกอ้อยสูตร 100 ตันต่อไร่ ประกอบด้วย 4 กระบวนการ ที่ทำหน้าที่สัมพันธ์กันเป็นวงจร เพื่อดูแลหล่อเลี้ยงต้นอ้อยให้เติบโตสมบูรณ์ คือ ดิน, พันธุ์อ้อย, น้ำ และ ปุ๋ย
                ที่มา : ศูนย์ทางด่วนข้อมูลทางการเกษตร *1677 / สถานีวิทยุร่วมด้วยช่วยกัน จ.นครราชสีมา / เว็บไซต์รักบ้านเกิดดอทคอม / เว็บไซต์เกษตรพอเพียง เรื่อง วิธีการปลูกอ้อยแบบน้ำหยด


3.การปลูกมันสำปะหลัง

              1. การเตรียมดินหากดินที่ทำการเพาะปลูกมันติดต่อกันหลายปี ควรปรับปรุงดิน เพื่อรักษาระดับผลผลิตในระยะยาว ด้วยการใส่ปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมักเปลือกมันชนิดเก่าค้างปี (จากโรงแป้งทั่วไป) ที่หาได้ในท้องถิ่น หรือ ปลูกพืชตระกูลถั่วต่าง ๆ หมุนเวียนบำรุงดิน ในกรณีที่พื้นที่ประเภทหญ้าคา ควรใช้ยาราวด์อัพหรือเครือเถาต่าง ๆ ควรใช้ยาสตาร์เรน ฉีดพ่นยาจำกัดเสียก่อนการไถ จากนั้นไถครั้งแรกโดยไถกลบวัชพืชก่อนปลูกด้วยผาน 3 (อย่าเผาทำลายวัชพืช) ให้ลึกประมาณ 20-30 ซม. แล้วทิ้งระยะไว้ประมาณ 20-30 วัน เพื่อหมักวัชพืชเป็นปุ๋ยในดินต่อไป ไถพรวนด้วยผาน 7 อีก 1-2 ครั้ง ตามความเหมาะสม และรีบปลูกโดยเร็ว ในขณะที่ดินยังมีความชื้นอยู่
              2. การเตรียมท่อนพันธุ์   ใช้ท่อนพันธุ์มันที่สด อายุ 10-12 เดือน ตัดทิ้งไว้ไม่เกินประมาณ 15 วัน โดยติดให้มีความยาวประมาณ 20 ซม. มีตาไม่น้อยกว่า 5 ตา เพื่อป้องกันเชื้อราและแมลง ควรจุ่มท่อนพันธุ์ในยาแคปแทน 1.6 ขีด (160 กรัม) ผสมร่วมกับมาลาไธออน 20 ซีซี ในน้ำ 20 ลิตร ประมาณ 5 นาที ก่อนปลูก
             3. การปลูก  ปลูกเป็นแถวแนวตรง เพื่อสะดวกในการบำรุงรักษาและกำจัดวัชพืช โดยใช้ระยะระหว่างแถว 1.20 เมตร ระยะระหว่างต้น 80 ซม. และปักท่อนพันธุ์ให้ตั้งตรงลึกในดินประมาณ 10 ซม.
             4. การฉีดยาคุมเมล็ดวัชพืช   สำหรับการปลูกในฤดูฝนสภาพดินชื้น ควรฉีดยาคุมวัชพืชด้วยยาไดยูรอน (คาแม็กซ์) หลังจากการปลูกทันที ไม่ควรเกิน 3 วัน หรือก่อนต้นมันงอก หากฉีดหลังต้นมันงอก อาจทำให้ต้นมันเสียหายได้ ใช้ยาในอัตรา 6 ขีด (600 กรัม) ผสมน้ำ 200 ลิตร ฉีดพ่นได้ประมาณ 1 ไร่ครึ่ง

               5. การกำจัดวัชพืชและการใส่ปุ๋ย    กำจัดวัชพืช ครั้งที่ 1 ประมาณ 30-45 วัน หลังการปลูก โดยใช้รถไถเล็กเดินตาม หรือ จานพรวนกำจัดวัชพืช ติดท้ายรถแทรกเตอร์ พร้อมทั้งใส่ปุ๋ย 15-15-15 อัตรา 25-50 กก./ไร่ ห่างจากต้นมัน 1 คืบ (20 ซม.) จากนั้นใช้จอบกำจัดวัชพืชส่วนที่เหลือ พร้อมกับกลบปุ๋ยไปด้วย หรือใส่ปุ๋ยโดยการขุดหลุม ห่างจากโคนต้น 1 คืบ แล้วกลบดินตามก็ได้ ข้อสำคัญควรใส่ปุ๋ยขณะที่ดินมีความชื้นอยู่ กำจัดวัชพืช ครั้งที่ 2 ประมาณ 60-70 วัน หลังการปลูก โดยปฏิบัติเช่นเดียวกันกับครั้งแรก กำจัดวัชพืช ครั้งที่ 3 ตามความจำเป็น โดยใช้จอบถาก หรือฉีดพ่นด้วยยากรัมม๊อกโซน (ควรใช้ฝากครอบหัวฉีด เพื่อป้องกันไม่ให้ยาโดนตาและลำต้นมัน)
             6. การเก็บเกี่ยว  ทำการเก็บเกี่ยวมันสำปะหลังในช่วงอายุที่เหมาะสม คือ ประมาณ 10-12 เดือน พร้อมทั้ง วางแผนการเตรียมท่อนพันธุ์มันสำปะหลัง เพื่อการปลูกในคราวต่อไปส่วนของต้นมันสำปะหลังที่ไม่ใช้ เช่น ใบ กิ่ง ก้าน หรือ ลำต้น ควรสับทิ้งไว้ในแปลง เพื่อให้เป็นปุ๋ยพืชสดในดินต่อไป


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น